
การโอนกรรมสิทธิ์คือจุดสิ้นสุดของการซื้อขายบ้าน แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความเสี่ยงใหม่สำหรับผู้ซื้อ เพราะเมื่อโอนแล้ว ความรับผิดชอบส่วนใหญ่จะย้ายจากผู้ขายมาหาผู้ซื้อทันที ดังนั้น “อย่ารีบร้อนโอน” หากยังไม่ได้ทำการตรวจสอบอย่างรอบด้าน ข้อผิดพลาดเล็ก ๆ ที่มองข้ามได้กลายเป็นค่าซ่อมบำรุงก้อนโต หรือปัญหาทางกฎหมายที่ตามมาหลายปี บทความนี้จาก HomeHug จะพาคุณไล่เช็คลิสต์ 5 ข้อห้ามพลาดก่อนโอน อธิบายวิธีตรวจจริง เอกสารที่ต้องขอ ขั้นตอนเจรจา และตัวอย่างข้อความที่ใช้ในสัญญา เพื่อให้การโอนบ้านของคุณราบรื่นและปลอดภัยยิ่งขึ้น
1. ตรวจสอบสภาพบ้านอย่างละเอียด
ปัญหาทางกายภาพ เช่น โครงสร้างร้าว ระบบไฟฟ้าชำรุด หรือรอยรั่วในหลังคา มักมีค่าใช้จ่ายสูงและแก้ไขได้ยากหลังโอน ดังนั้นก่อนโอนต้องรู้สภาพจริงของทรัพย์สิน
ควรตรวจอะไรบ้าง (เช็คลิสต์สำคัญ)
- โครงสร้างหลัก : คาน เสา ผนัง พื้น - ตรวจหารอยร้าวทรุดตัว
- หลังคาและระบบระบายน้ำ : รอยรั่ว ท่อน้ำฝน ตะกอนอุดตัน
- ระบบไฟฟ้า : เบรกเกอร์ สายไฟ ปลั๊ก แสงสว่าง ทดสอบการใช้งาน
- ระบบประปา/สุขาภิบาล : แรงดันน้ำ ท่อรั่ว ระบายน้ำช้า
- ปลวกและแมลง : ร่องรอยทำลายไม้/พื้นไม้ผุ
- การต่อเติม : ตรวจว่ามีใบอนุญาตหรือไม่ และต่อเติมถูกหลักวิศวกรรมหรือไม่
- เฟอร์นิเจอร์/อุปกรณ์ที่รวมในสัญญา : รุ่น ยี่ห้อ สภาพการใช้งาน
วิธีการตรวจจริง
- ถ่ายภาพ/วิดีโอครบมุม พร้อมวันที่-แนบเป็นหลักฐานในสัญญา
- ทำ Move-in Checklist ลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่ายก่อนโอน
- ถ้าพบประเด็นสำคัญให้จ้างวิศวกร/ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจและออกรายงานเป็นลายลักษณ์อักษร (เช่น การประเมินโครงสร้าง ระบบไฟฟ้า หรือระบบประปา)
ข้อเสนอเชิงเจรจาเมื่อพบปัญหา
- ขอให้ผู้ขายซ่อมก่อนโอนตามใบเสนอราคาที่น่าเชื่อถือ
- หักเงินตามใบเสนอราคา/ขอเครดิตซ่อมจากยอดโอน โดยระบุเป็นข้อในสัญญา
2. เช็กหนี้ส่วนกลางและภาระผูกพัน
สำหรับคอนโดหรือหมู่บ้านจัดสรร ภาระค่าส่วนกลางหรือมติที่เรียกเก็บพิเศษอาจทำให้ผู้ซื้อต้องรับภาระหลังโอน หากไม่ชำระ ผู้ซื้ออาจถูกเรียกเก็บในภายหลัง
ควรขอเอกสารอะไร
- ใบแจ้งยอดค่าส่วนกลางล่าสุด และประวัติการชำระของยูนิต/หลังนั้น
- หนังสือรับรองการไม่มีหนี้จากนิติบุคคล รายงานมติประชุมใหญ่ (กรณีมีมติเรียกเก็บพิเศษ หรือโครงการมีแผนซ่อมใหญ่)
- สอบถามการฟ้องร้องหรือคดีความที่เกี่ยวข้องกับโครงการ
แนวทางการจัดการหากพบหนี้ค้าง
- ขอให้ผู้ขายชำระหนี้ก่อนโอน และแนบเงื่อนไขไว้ในสัญญา
- กรณีลงนามจะซื้อ ให้กำหนดเงื่อนไขการชำระหนี้เป็นเงื่อนไขการบังคับก่อนโอน (condition precedent)
3. ศึกษาค่าธรรมเนียมและภาษี
รายการต้นทุนที่มักถูกมองข้าม
- ค่าโอนกรรมสิทธิ์ อัตราและวิธีคำนวณแตกต่างตามกรณี
- ค่าจดจำนอง (ถ้าจะมีการจด) และค่าธรรมเนียมธนาคาร/ค่าประเมินทรัพย์สิน
- ภาษีที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีธุรกิจเฉพาะหรือภาษีเงินได้จากการขาย (หากผู้ขายมีภาระ)
- ค่านายหน้า ค่าบริการ Escrow (ถ้ามี) และค่าใช้จ่ายด้านกฎหมาย
คำแนะนำการเตรียมงบ
- ขอประมาณการค่าใช้จ่ายจากธนาคาร/ทนาย หรือนายหน้าที่เชื่อถือได้ก่อนยื่นกู้หรือจอง
- เตรียมเงินสดสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินระหว่างโอน (มัก 3–5% ของมูลค่าทรัพย์เป็นค่าเผื่อ)
4. ตรวจสอบเอกสารสิทธิ์และประวัติทรัพย์สิน
จุดที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
- ชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์บนโฉนดต้องตรงกับชื่อผู้ขาย หากไม่ตรง ต้องเคลียร์ก่อน
- ตรวจภาระผูกพัน เช่น จำนอง คำสั่งอายัด หรือสัญญาเช่าที่ยังมีผลผูกพัน
- ประวัติการโอนย้อนหลัง เพื่อหาการโอนที่ผิดปกติ
เอกสารที่ควรขอดูและตรวจสอบ
- โฉนด (สำเนาตัวจริงเพื่อตรวจความถูกต้อง)
- หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามีตัวแทนขาย) ตรวจความถูกต้องและอายุการมอบอำนาจ
- ใบเสร็จการชำระภาษีที่ดิน/ภาษีโรงเรือนล่าสุด
- แบบแปลน/ใบอนุญาตก่อสร้าง (กรณีมีการต่อเติม)
วิธีตรวจสอบเชิงปฏิบัติ
- นำโฉนดไปตรวจที่สำนักงานที่ดิน/ใช้บริการทนายเพื่อตรวจประวัติทางกฎหมาย
- ถ้าพบภาระผูกพัน ให้ขอให้ผู้ขายดำเนินการเคลียร์ก่อนโอนหรือระบุเงื่อนไขชัดในสัญญา
5. ทำความเข้าใจสัญญาให้รอบคอบ
สัญญาจะซื้อจะขายเป็นข้อตกลงผูกพันทางกฎหมาย เงื่อนไขที่คลุมเครืออาจกลายเป็นปัญหาเมื่อเกิดกรณีพิพาท
ประเด็นสำคัญที่ต้องมีในสัญญา
- รายละเอียดทรัพย์สินและรายการสิ่งของที่รวมขาย
- เงื่อนไขการชำระเงิน: เงินมัดจำ ยอดที่ต้องจ่ายก่อนโอน วันโอน และช่องทางการโอนเงิน
- เงื่อนไขการคืนเงินมัดจำในกรณียกเลิก และบทลงโทษหากผิดสัญญา
- เงื่อนไขการเคลียร์หนี้ส่วนกลางและภาระผูกพันก่อนโอน (ระบุว่าเป็นเงื่อนไขก่อนโอน)
- ข้อตกลงเรื่องการตรวจรับบ้านและการซ่อมก่อนโอน (ถ้ามี)
กรอบเวลาและกระบวนการแก้ไขข้อพิพาท (เช่น ไกล่เกลี่ย/อนุญาโตตุลาการ/ศาล)
ตัวอย่างข้อความสัญญา (ตัวอย่างเท่านั้น-ควรให้ทนายตรวจ)
“ผู้ขายต้องดำเนินการชำระหนี้ค่าส่วนกลางและภาระผูกพันทั้งหมดที่เกิดขึ้นจนถึงวันโอน และออกหนังสือรับรองการไม่มีหนี้จากนิติบุคคลเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนการโอนกรรมสิทธิ์ หากผู้ขายไม่ชำระ ผู้ซื้อมีสิทธิ์ยกเลิกการโอนและเรียกคืนเงินมัดจำเต็มจำนวน”
คำแนะนำสุดท้ายเรื่องสัญญา
- ให้ทนายความหรือนายหน้าที่มีประสบการณ์ตรวจสัญญาก่อนเซ็นเสมอ
- อย่าเซ็นสัญญาที่มีช่องว่างหรือข้อความที่เป็นประโยคสั้นคลุมเครือ ให้เขียนเงื่อนไขเสริมให้ชัดเจน
เช็คลิสต์ฉบับย่อก่อนวันโอน
- รายงานตรวจสภาพบ้าน (พร้อมรูป/วิดีโอ และลายเซ็นของผู้ขาย)
- หนังสือรับรองไม่มีหนี้จากนิติบุคคล/สมาคม (ถ้ามี)
- สำเนาโฉนดตัวจริงและเอกสารกรรมสิทธิ์ที่เกี่ยวข้อง
- ใบเสร็จภาษี/ค่าธรรมเนียะล่าสุด
- สัญญาจะซื้อจะขายฉบับสมบูรณ์ที่ผ่านการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญ
- ประมาณการค่าโอน ค่าจดจำนอง ภาษี และค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน
- รายชื่อผู้ติดต่อสำคัญ เช่น นิติบุคคล ธนาคาร ทนาย นายหน้า ช่าง/วิศวกร
ตารางเวลาแนะนำ
- 30-14 วันก่อนโอน : ตรวจสภาพบ้านโดยช่าง/วิศวกร ขอ Inventory + รูปถ่าย และขอหนังสือรับรองหนี้ส่วนกลาง
- 14-7 วันก่อนโอน : เจรจาเงื่อนไขซ่อม/เครดิตหากพบปัญหา เตรียมเงินค่าส่วนที่ต้องจ่ายก่อนโอน
- 7-1 วันก่อนโอน : ตรวจสัญญาสุดท้าย, เตรียมเอกสารประจำตัว, ตรวจยอดเงินโอน, นัดวันเวลาโอนที่สำนักงานที่ดิน
- วันโอน : พกโฉนดตัวจริง เอกสารตัวจริงทุกฉบับ และหลักฐานการชำระเงินมัดจำ/ค่าส่วนที่เหลือ
การโอนกรรมสิทธิ์คือช่วงเวลาสำคัญ เมื่อทำถูกต้อง คุณจะได้รับกรรมสิทธิ์ที่ปลอดภัยและทรัพย์สินที่คุ้มค่า แต่ถ้าพลาดข้อใดข้อหนึ่ง อาจต้องรับภาระทั้งค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากหลายปี HomeHug สรุป 5 ข้อห้ามพลาดไว้ให้เป็นแนวทางปฏิบัติ หากคุณทำครบทุกข้อ ความเสี่ยงก่อนโอนจะลดลงมาก
หวังว่าเคล็ดลับนี้จะเป็นประโยชน์ ติดตาม www.homehug.in.th เพื่อสาระความรู้ดีๆ เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แบบเข้าใจง่าย